การนำเข้าสินค้ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง? ยุ่งยากหรือไม
การนำเข้าสินค้ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง? ยุ่งยากหรือไม่?
ในปัจจุบันนี้ เราจะเห็นว่ามีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยเลยที่ได้เลือกใช้บริการนำเข้าสินค้า (Import) จากต่างประเทศเข้ามาประเทศไทย โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนเพื่อนำมาจำหน่ายหรือใช้เอง เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ ของชำร่วย เฟอร์นิเจอร์ สินค้าไอที เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือเทคโนโลยี เป็นต้น สำหรับสินค้าเหล่านี้เป็นที่นิยมในการสั่งซื้อในปริมาณจำนวนมาก เพราะถ้าหากยิ่งซื้อมากยิ่งได้ราคาที่ถูกลงกว่าเดิม ช่วยประหยัดต้นทุนและสามารถเพิ่มมูลค่าหรือสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำอีกด้วย
ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการนำเข้าสินค้า เริ่มตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทางแบบเข้าใจง่าย ๆ ดังนี้
การติดต่อกับโรงงานผู้จำหน่าย
ขั้นตอนแรกและจุดเริ่มต้นของขั้นตอนการขนส่งสินค้า โดยเริ่มจากผู้ขายหรือผู้ผลิตเป็นลำดับแรก ซึ่งส่วนใหญ่เรียกว่า โรงงานหรือผู้จำหน่าย (Shipper) หน้าที่ของ Shipper คือเป็นการคุยกับลูกค้าเพื่อประสานงานและดำเนินการจัดการเรื่องสินค้า หลังจากนั้นบริษัทชิปปิ้งจะสามารถดำเนินการจัดการเรื่องเอกสารต่างๆและการนำเข้าสินค้าให้เป็นตามระเบียบและกฎของศุลกากร
การทำพิธีการศุลกากรขาออก
ขั้นตอนนี้ทางผู้จำหน่าย (Shipper) หรือตัวแทนขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Freight Forwarder) ที่ได้จัดจ้างเอาไว้ จะทำการแสดงสินค้าต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร เพื่อให้เห็นว่ามีสินค้าอะไรบ้างที่กำลังจะนำออกจากประเทศนั้นๆ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่นานเท่าไร หากไม่พบปัญหา
การจัดเตรียมเอกสารสำหรับการนำเข้า
ก่อนที่จะเบิกของออกมา จำเป็นจะต้องผ่านพิธีการศุลกากรขาเข้าก่อน ซึ่งพิธีการศุลกากรนี้ใช้ระบบดิจิทัลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกข้อมูลพร้อมลงลายมือชื่อในโปรแกรม เพื่อส่งไปยังระบบคอมพิวเตอร์ของศุลกากร ในขั้นตอนนี้จะสามารถทำได้ด้วยตัวเอง หรือผ่านทางบริษัทชิปปิ้ง (หรือเรียกว่าผู้นำเข้าสินค้า) ได้เช่นกัน โดยเอกสารที่จำเป็นต่อการยื่นคือ ใบขนสินค้าขาเข้า ข้อมูลที่ต้องบันทึกลงในระบบจะประกอบไปด้วย ข้อมูลยานพาหนะสำหรับนำเข้า ไม่ว่าจะเป็น รถ เรือ หรือ เครื่องบิน,ใบตราส่งสินค้า,บัญชีรายการสินค้าทุกรายการ,บัญชีรายละเอียดการบรรจุหีบห่อ,เอกสารอื่นๆ เช่น เอกสารผู้รับบรรทุก ผู้รับประกันภัยธนาคาร เป็นต้น,ใบอนุญาตนำเข้าหรือ เอกสารอื่นๆ ในกรณีสินค้านำเข้า เป็นข้อจำกัดตามเงื่อนไขของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สำหรับสินค้าที่เป็นเคมีภัณฑ์หรือสินค้าที่ไม่สามารถแยกชนิดและคุณภาพได้ ควรมีเอกสารการรับรองวิเคราะห์ของผู้ผลิตสินค้า (Certificate of Analysis) เอกสารที่แสดงรายละเอียดของสินค้า (Specification) หรือเอกสารเรื่องข้อมูลความปลอดภัย (Material Safety Data Sheet) เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการแปลงเป็นใบขนส่งสินค้าอัตโนมัติ แล้วบันทึกลงสู่ระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากรทางออนไลน์
เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบข้อมูลใบขนสินค้าขาเข้า
เมื่อทางศุลกากรได้รับข้อมูลที่บันทึกในระบบเรียบร้อยแล้ว จะมีการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นใบขนสินค้า ประกอบด้วย ชื่อ ที่อยู่ผู้นำเข้า เลขประจำตัวของผู้เสียภาษี พิกัดอัตราศุลกากร และราคาของสินค้า ในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดในระหว่างการตรวจสอบข้อมูล ทางศุลกากรจะแจ้งกลับมายังผู้นำเข้าเพื่อทำการแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง และทำการส่งข้อมูลที่ได้รับการแก้ไขใหม่กลับไปทางศุลกากรอีกครั้ง ขั้นตอนนี้สามารถเกิดข้อผิดพลาดได้หลายครั้ง หากข้อมูลนั้นยังไม่ถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ แต่หากข้อมูลทั้งหมดตรวจสอบเรียบร้อยว่าถูกต้องและสมบูรณ์แล้ว ทางศุลกากรจะออกเลขที่ใบขนสินค้าให้
5. การตรวจสอบพิสูจน์ตามเงื่อนไขชำระภาษีอากรขาเข้า
ขั้นตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่จะต้องทำการตรวจสอบพิสูจน์เกี่ยวกับรายละเอียดข้อมูลของสินค้าให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ทางกรมศุลกากรกำหนดเอาไว้อย่างถี่ถ้วน โดยแบ่งสินค้าออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
1.ใบขนสินค้าขาเข้าประเภทไม่ต้องตรวจสอบพิธีการ (Green Line) โดยสินค้าประเภทนี้ ผู้นำเข้าต้องนำใบขนสินค้าขาเข้าไปชำระภาษีอากรและสามารถวางประกันที่เกี่ยวข้องได้ทันที
2.ใบขนสินค้าขาเข้าประเภทต้องตรวจสอบพิธีการ (Red Line) สำหรับสินค้าประเภทนี้ ผู้นำเข้าจำเป็นจะต้องนำใบขนสินค้าขาเข้าไปติดต่อยังหน่วยงานประเมินอากรของที่นำเข้าแห่งนั้นๆ เพื่อทำการเปลี่ยนเป็นสินค้าแบบ Green Line
แต่ในปัจจุบันนี้ผู้นำเข้าสามารถทำการชำระภาษีได้ 3 วิธี คือ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ธนาคาร และ กรมศุลกากร
6. การตรวจสอบและการปล่อยสินค้าออก
ขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการตรวจสอบและปล่อยสินค้าออกจากศุลกากร ผู้เข้าต้องยื่นใบขนสินค้าพร้อมกับใบเสร็จรับเงินที่ชำระเรียบร้อยแล้วให้กับคลังสินค้า ขั้นตอนนี้เองข้อมูลของสินค้าจะถูกตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยต้องผ่านการตรวจสอบหรือยกเว้นการตรวจ ในกรณีที่ใบขนสินค้ายกเว้นการตรวจ (Green Line) ใบขนสินค้าประเภทนี้จะใช้เวลาในการตรวจสอบน้อยมาก แต่ถ้าเป็นสินค้าต้องผ่านการตรวจสอบพิธีการขนส่งทางบก จะมีการเคลื่อนย้ายสินค้าเพื่อตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากร ก่อนปล่อยสินค้าออกจากด่านศุลกากร
7. การขนส่งไปยังผู้รับ
เมื่อสินค้าได้รับการตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงจะสามารถขนส่งไปยังผู้รับได้ สำหรับการขนส่งทางรถในประเทศไทย มีข้อกำหนดสำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่กว่ารถกระบะด้วย และในช่วงการจราจรคับคั่งจะเป็นช่วงที่รถใหญ่ห้ามวิ่งในเขตเมือง และเมื่อผู้รับสินค้าได้รับของเป็นที่เรียบร้อย ถือว่าสิ้นสุดการขนส่งสินค้า
การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศนั้นมีหลายขั้นตอนและค่อนข้างยุ่งยาก ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วจะนำเข้าโดยหันมาใช้บริการกับบริษัทรับนำเข้าสินค้า เพราะจะช่วยในเรื่องความสะดวกสบาย สามารถนำเข้าสินค้าได้ง่ายและไม่ยุ่งยาก เพราะทางบริษัทจะเป็นผู้จัดการด้านเอกสารในการนำเข้าทั้งหมดเอง และในตอนนี้มีบริษัทนำเข้าสินค้าอยู่เป็นจำนวนมากให้เลือกใช้บริการ และราคาค่านำเข้าก็แตกต่างกันไปอีกด้วย